
โรค ซิฟิลิส (Syphilis) คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อจากเพศสัมพันธ์ ซึ่งโรคนี้หากปล่อยทิ้งไว้จะลุกลามและเป็นอันตรายรุนแรงได้ในภายหลัง เพราะฉะนั้นเมื่อทราบว่าเป็นโรคซิฟิลิสควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที.
สาเหตุโรคซิฟิลิส
โรคซิฟิลิสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Treponema Pallidum โดยสามารถติดได้ทั้งทางปาก และอวัยวะเพศ และที่สำคัญหากผู้ป่วยอยู่ในขณะตั้งครรภ์ จะส่งผลให้ทารกในครรภ์ติดเชื้อตามไปด้วย
อาการของโรค
อาการของโรคซิฟิลิส จะแบ่งออกตามระยะ ซึ่งมีทั้งหมด 4 ระยะ ด้วยกัน ดังนี้
- ระยะแรก ผู้ป่วยจะเป็นแผลริมแข็ง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นในบริเวณที่มีเพศสัมพันธ์ เช่น อวัยวะเพศ ริมฝีปาก ช่องปาก ทวารหนัก เป็นต้น แต่ว่าแผลนี้จะไม่รู้สึกเจ็บ และจะเป้นอยู่ประมาณ 3 – 6 สัปดาห์ก่อนแผลจะหาย และด้วยความที่เป็นแผลที่ขึ้นในที่ลับ ผู้ป่วยอาจไม่ทันสังเกตเห็น แต่แผลที่หายปะลุกลามเข้าสู่ระยะที่ 2
- ระยะที่สอง ในระยะนี้ผู้ป่วยจะเริ่มมีผื่นขึ้นบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือบริเวณอื่นๆของร่างกาย โดยจะเป็นผื่นที่มีสีแดงน้ำตาล ไม่คัน มีอาการเจ็บที่บริเวณปากหรือช่องคลอด นอกจากนี้แล้วยังพบอาการ ไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ผมร่วง อ่อนเพลีย ร่วมด้วย
- ระยะแฝง ในระยะนี้จะไปพบอาการใดๆ แต่เชื้อจะอยู่ในร่างกายเป็นปี หากจะตรวจพบโรคในระยะนี้ได้ต้องตรวจเลือดเท่านั้น
- ระยะที่สาม ระยะนี้รุนแรงมาก เพราะเชื้อจะทำลายหัวใจ สมอง ตา และอวัยวะอื่นๆ ผู้ป่วยระยะนี้จะมีอาการรุนแรง คือ ขยับแขนขาได้ลำบาก เป็นอัมพาต มีอาการชา ตาบอด โรคหัวใจ หรือเสียชีวิตได้ ซึ่งความน่ากลัวของโรคคืออาการจะมีความคล้ายกับอาการของโรคอื่นๆ ทำให้ไม่ทราบถึงต้นโรคที่แท้จริง
ภาวะแทรกซ้อน
ผู้ป่วยที่เป็นโรคซิฟิลิสอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้หลายรูปแบบ เพราะส่งผลต่อหัวใจและสมอง จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ เช่น
- โรคหลอดเลือดสมองแตก
- โรคเยื่อหุ้มไขสันหลังอักเสบ
- การมองเห็นและการได้ยิน มีความผิดปกติ
- โรคความจำเสื่อม
การป้องกันโรค
โรคซิฟิลิสเป็นโรคที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ เพราะฉะนั้นแนวทางการป้องกันคือ ไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อย เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เมื่อมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ไม่ใช่ภรรยา ควรสวมถุงยางอนามัยก่อนทุกครั้ง
การรักษาที่แพทย์แนะนำ : ในการรักษาโรคสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยา benzathine penicillin G ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยและพิจารณาเองว่าคุณควรได้รับยาอะไร แต่อย่างไรก็ตามในขณะที่รักษาตัวและรับประทานยาไม่ควรที่จะมีกิจกรรมเพศสัมพันธ์ใด และควรให้คู่นอนของคุณเข้ารับการตรวจว่ามีการติดเชื้อด้วยหรือไม่ เพื่อเป็นการป้องกันตั้งแต่เริ่มต้น